เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันรัฐธรรมนูญ เห็นไหม วันรัฐธรรมนูญนี่ เพราะเมื่อก่อนมันมีการแบบว่า การปกครองมันเผด็จการน่ะ การเผด็จการคนปกครองเผด็จการคนเดียวไง แต่ถ้าคนดี เห็นไหม อย่างเมืองจีน เหมาเจ๋อตุงนี่ ที่ว่าเป็นคอมมิวนิสต์น่ะ แต่ถ้าไม่มีคำว่าปูพื้นฐาน คนเหมือนสัตว์นะ เวลาค้าขาย ค้าขายมนุษย์ ค้าขายอย่างต่างกันไป เพราะสังคมมันเป็นแบบนั้น
นี้ก็เหมือนกัน เวลาวันรัฐธรรมนูญนี่เพื่อความเป็นประชาธิปไตยไง สิ่งที่เป็นประชาธิปไตยนี่ มันเป็นสิ่งที่ว่าผิดพลาดน้อยที่สุด จะว่าดีที่สุดเป็นไปไม่ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ธรรมาธิปไตย ถ้ามีธรรมในหัวใจขึ้นมานี่ ไอ้ทีนี้มันจะเป็นธรรม มันไม่เบียดเบียนตนไง
ถ้ายังไม่มีธรรมนะ เวลาบวชมาเป็นสงฆ์เป็นพระขึ้นมานี่ พระสงฆ์ก็มีกิเลสเหมือนกัน เวลาบวชนี่ บวชมาแต่ร่างกายไง บวชมาเพื่อสร้างโอกาสให้ตัวเอง ถ้าตัวเองบวชมาเป็นพระ เห็นไหม นี่การบิณฑบาต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ให้เป็นประเพณี นี่อริยประเพณี คือเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ทุกคนต้องอยู่ด้วยอาหารนะ
สรรพสิ่งในโลกนี้อยู่ด้วยอาหาร อยู่ที่ปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งนี้ต้องอาศัยดำเนินไป ชีวิตก็เหมือนกันต้องอาศัยสิ่งนี้ แต่เมื่อออกมาบวชเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เห็นไหม ประพฤติปฏิบัตินี่โลกเขาส่งเสริมไง เวลาเกิดสงคราม กองทัพเห็นไหม ต้องออกรบเพื่อป้องกันประเทศชาติ
อันนี้ก็เหมือนกัน ผู้ที่ทรงธรรมทรงวินัยไง ออกรบกับตัวเอง ออกรบกับกิเลสตัวเอง การชนะสงครามขนาดไหนมีแต่ก่อเวรก่อกรรม การก่อเวรก่อกรรมคือการเบียดเบียนกัน สิ่งที่เบียดเบียนกัน เห็นไหม ผู้ชนะมันก็ชั่วคราว เพราะโลกนี้มันไม่จีรังยั่งยืนไป แต่เราก็ต้องการ ต้องการการเกิดมาเพื่อประสบความสุข
เช่น เราเกิดมาสมัยปัจจุบันนี่ เราเจอ เห็นไหม กษัตริย์ปกครองนี่ดีมาก ประเทศชาติร่มเย็นมาก เวลาเราเทียบเคียงไปนะ คนไม่ไปเมืองนอกนี่ยังไม่คิดถึงเห็นคุณค่าของเมืองไทยหรอก ถ้าคนไปเมืองนอกนะแล้วคิดถึงเมืองไทย มันจะมีกระทบกระทั่งกันบ้างเพราะทุกคนมีกิเลส แต่มันก็อบอุ่น มันก็เย็นใจ
เวลาที่อื่นเขาเกิดปัญหาขึ้นมานี่ เขาฆ่าเขาแกงกันนะ มันเป็นแบบนั้น เพราะจิตใจของเขาเป็นสภาวะแบบนั้น ถึงที่สุดนะ แต่จิตใจของพวกเรานี่ ถึงที่สุดคือการให้อภัยกัน ถึงที่สุดคือการปล่อยวาง ถึงที่สุดก็โลกนี้เป็นไปตามกรรม เราไม่สามารถแปรสภาพ เราไม่สามารถต้องการความมุ่งหมายเราเปลี่ยนสภาพของผลไม้จากชนิดหนึ่งไปอีกชนิดหนึ่งได้หรอก ผลไม้ชนิดไหนมันก็ออกมาเป็นชนิดนั้น
กรรมก็เหมือนกัน ในเมื่อเราสร้างสภาวะกรรมมาเป็นแบบนั้นแล้วนี่ เราก็ต้องรับสภาวะกรรมแบบนั้นไป แต่แบบนั้นนี่มันเหมือนกับลัทธิยอมจำนน เหมือนกับเรายอมจำนนกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น...เราไม่ยอมจำนนหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก พยายามจะให้ฝืน ถึงต้องมีความเพียรชอบ การประพฤติปฏิบัติ การเพียรเป็นโลกนี่
เช่น รัฐธรรมนูญ เห็นไหม เราสร้างรัฐธรรมนูญมาน่ะ สุดท้ายแล้วนี่ มันก็ต้องมีการฉีกรัฐธรรมนูญกัน ต้องมีการแย่งอำนาจกัน เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องสมมุติ มันเป็นสมมุติขึ้นมา แต่สมมุตินี้จริงตามสมมุติ เราสร้างกฎหมายรัฐธรรมนูญมา ใครฉีกรัฐธรรมนูญนี่ถือว่าเป็นกบฏของประเทศชาติ ถึงกับประหารชีวิตนะ ถ้าเขาเอาจริงเอาจังกัน
แต่ถ้าเขาอะลุ่มอล่วยกัน เห็นไหม เขาก็ให้หนีออกไปต่างประเทศ เขาต้องให้หนีเป็นไป นี่มีการแก่งแย่งมีการชิงกันมาตลอด นี่อำนาจไง ใครที่มีอำนาจ แต่ถ้าคนมีบุญ เห็นไหม คนมีบุญมีอำนาจนี่มันเป็นไป ถึงกาลเวลามันเป็นไป แต่ก็ต้องการกระทำ ต้องมีความเพียรชอบทั้งนั้น ถ้าความเพียรชอบนะ ถ้าเราไม่กระทำขึ้นไปนี่ มันก็เป็นการชนะตนเองไง ถ้าเราชนะตนเองได้
สิ่งที่ชนะตนเอง สมัยโบราณนะ เวลาคนจะให้เป็นผู้นำชุมชนนี่ เขาต้องไปขอร้องกันไง เขาขอร้องให้คนดี คนที่เรายอมรับขึ้นมาเป็นผู้นำชุมชน แต่ปัจจุบันนี้ เห็นไหม ประชาธิปไตย คนละ ๑ เสียง ใครก็ ๑ เสียง ดูสิ ดูที่เขาเขียนหนังสือ เห็นไหม ที่ว่าประชาธิปไตยของสัตว์ ม้าเป็นเสียงหนึ่ง ลาเป็นเสียงหนึ่ง ใครเป็นคนมีอำนาจล่ะ ใครคนมีความฉลาดล่ะ ก็คิดพลิกแพลงไง พลิกแพลงสิ่งนี้ไป
แต่ถ้าเราจะเอาชนะเราเองนี่เราจะพลิกแพลงเราได้ไหม เวลาความกระทบความรู้สึกในหัวใจของเรานี่ เราไม่สามารถขับดันสิ่งนี้ออกไปจากใจได้ นี่ธรรมมันเป็นสภาวะแบบนั้นไง เวลาเกิดพายุลมแรงกระหน่ำเข้ากับประเทศใดก็แล้วแต่ เกิดพายุนี่เราต้องอพยพหนีไง ต้องยอมรับธรรมชาติยอมรับความเป็นจริงอันนั้น เพราะมันฝืนไม่ได้ เวลาเกิดพายุเกิดภัยแล้งขึ้นมานี่ พยายามแก้ไขกันน่ะ เราก็ต้องยอมรับสภาวะแบบนั้น
นี้ก็เหมือนกัน เวลาเกิดขึ้นนี่มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจนี่เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง นี่ถ้าเป็นประชาธิปไตย อันนี้มันมีอำนาจไง สิ่งที่ความคิดรุนแรงเกิดขึ้นในใจนี่ ประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นแล้ว เราจะยอมรับมันไหม ถ้าเราไม่ยอมรับมันนี่ ธรรมาธิปไตยไง สิ่งนี้เป็นสภาวธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง
แต่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นมานี่ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบอันนั้นไง นี่นักบวชถึงต้องมีอันนี้ไง นักบวชต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง อันนี้ก็เกิดเหมือนลมพายุนั่นน่ะ เวลาลมพายุเกิดขึ้น มันก่อตัวขึ้นมานี่ โดยธรรมชาติของมัน มันก่อตัวขึ้นมา มันต้องมีความเป็นไปของมัน เห็นไหม เกิดจากแดด เกิดจากลม เกิดจากฝน เกิดจากต่าง ๆ นี่ มันหมุนตัวมันเองออกไป
อันนี้ก็เหมือนกัน เราสร้างสัมมาสมาธิ เราพยายามทำความสงบของใจ เราเริ่มจากสร้างโอกาสขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์นี่มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง เกิดขึ้นมาแล้วต้องตายไป โอกาสของเรา ถ้าเราอยู่ในกระแสโลก เราก็เป็นไปตามกระแสโลก อยู่ในโลก เห็นไหม เราก็ทำชีวิตไปในโลก อันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง
แต่ถ้าเราออกมาประกาศตนว่าเป็นนักรบ เป็นพระผู้ประพฤติปฏิบัตินี่ มันก็ต้องทรงธรรมทรงวินัย เห็นไหม ถ้าทรงวินัยขึ้นมานี่ เราสร้างโอกาสของเราขึ้นมา สิ่งนี้เราเกิดศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าสิ่งนี้เราสร้างขึ้นมานี่มันก็เป็นฝ่ายเหตุไง ธรรมฝ่ายเหตุ สงฆ์นี้เป็นสมมุติทั้งหมด สิ่งที่เป็นสมมุติ แต่เป็นมรรคกับเป็นกิเลสไง
สิ่งที่เป็นมรรค เห็นไหม เป็นมรรคคือการเราสร้างขึ้นมา มันก็เป็นอนิจจัง สรรพสิ่งอันนี้เป็นอนิจจังหมดเลย แต่เราจะใช้สิ่งที่เป็นอนิจจังนี่เกิดขึ้นมา เห็นไหม อย่างผลไม้นี่ ถ้าเราเก็บมา เราใช้ประโยชน์มันได้ เราจะเอามาใช้สอยได้เป็นประโยชน์ เราเอามาเป็นอาหารได้ แต่ถ้าเราเก็บไว้มันก็เน่ามันก็เสียไป แล้วถ้ามันตกลงดินมันก็เกิดได้ เมล็ดผลไม้ แต่ถ้ามันตกลงไปที่แห้งแล้ง เมล็ดผลไม้นั้นก็ตายไป
นี่ชีวิตเราก็เหมือนกัน สภาวะแบบนี้เกิดตายในสภาวะอันหนึ่งของโลก มันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วโอกาสอันนี้เราพยายามจะสร้างขึ้นมา เราจะออกมาประพฤติปฏิบัติ เราจะสร้างธรรมไง สภาวธรรมเกิดขึ้นมาไม่มีใครรู้เท่าเห็นตามความเป็นจริงอันนั้น สภาวธรรมอันนั้น เห็นไหม ธรรมาธิปไตย ถึงเห็นตามความเป็นจริงนั้น ทุกคนยอมรับสิ่งนี้เกิดขึ้นมา ทุกคนมีอันนี้ สงครามอันใหญ่โตที่สุดคือสงครามกับตัวเองไง เอาชนะตัวเองได้ ธรรมาธิปไตยฝ่ายเหตุถ้าเกิดสภาวธรรมนั้นเคลื่อนไป นี่ธรรมจักรมันเคลื่อนไปไง
สิ่งที่ธรรมจักรเคลื่อนไปนี่ มันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ถึงว่าเป็นการค้นพบของเราไง ผู้ใดค้นพบนะ เขาค้นพบโลกใหม่ เขาก็ได้สมบัติจากโลกใหม่ เห็นไหม ผู้ที่ค้นพบแร่ธาตุต่าง ๆ ในโลก แล้วเขาจะได้ประโยชน์กับเขา นี่เขาค้นพบของเขา แต่เรานักบวช เราค้นพบในหัวใจของเรา ถ้าเราค้นพบใจของเรา เราค้นพบสิ่งนี้ขึ้นมา นี่มันเกิดขึ้น มันค้นพบมันก็เป็นสมมุติ มันเป็นอนิจจังเหมือนกัน สิ่งที่เป็นอนิจจังเราถึงต้องพยายามสร้างสมไง ชำนาญในวสี
เขาขุดเหมือง เห็นไหม เขารักษาอากาศ รักษาอะไร เพื่อจะลงไปหาแร่ธาตุสิ่งนั้นขึ้นมาเป็นประโยชน์ เราก็เหมือนกัน เราชำนาญในวสี ถ้าเราชำนาญในวสี เรากำหนดสติสัมปชัญญะใคร่ครวญสิ่งนี้เข้าไปนี่ มันจะทำให้ความสงบนี้มันมั่นคงขึ้น ถ้าความมั่นคงขึ้นนี่ สิ่งนี้สภาวธรรมที่เราสร้างขึ้นมา เห็นไหม พายุฝนที่มันเกิดขึ้นมา เราเอาน้ำนั้นมาใช้ประโยชน์ได้
นี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราสร้างขึ้นมานี่ เราใช้ประโยชน์สิ่งนี้ สิ่งนี้เราพยายามดัดแปลงขึ้นมา ย้อนกลับขึ้นมา นี่ทวนกระแส ถ้าเราไม่ทวนกระแส ปัญญาเราจะไม่เกิดขึ้นหรอก มันจะไม่หมุนกลับมา เพราะธรรมชาติของสรรพสิ่งต่าง ๆ มันส่งออก สภาวะสิ่งต่าง ๆ นี่มันแปรไปตามกระแสของโลก สิ่งที่ธรรมชาติมันแปรไปตามสภาวะแบบนั้น นี่มันถึงเป็นอนิจจัง
ถ้าทวนกระแสขึ้นมานี่ สิ่งนี้มั่นคงขึ้นมา แล้วเราพลิกขึ้นมา พลิกแพลงขึ้นมา ในสภาวะขึ้นมาให้เห็นภายใน นี่จากสภาวธรรมที่เป็นสมมุติ เห็นไหม จะเป็นวิมุตติได้ สิ่งที่เป็นวิมุตติคือว่าการพ้นออกไป นี่ธรรมาธิปไตย ถ้าสิ่งนี้เป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม สภาวธรรมเกิดขึ้นมา สภาวธรรมตามความจริงเราก็ว่าสภาวธรรมตามความจริง ธรรมะคือธรรมชาติ ๆ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง
แต่เรารู้ทฤษฎีธรรมชาติไหม เราพิสูจน์เราค้นพบในตัวเราไหม ถ้าเราพิสูจน์เราค้นพบตัวเรามานี่ เราจะวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริงนะ สิ่งนี้เราห้ามปรามไม่ได้หรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว อัครสาวกต่าง ๆ ก็นิพพานไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ปรินิพพานไป นี่วัฏฏะมันเวียนไป แล้วพระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาตรัสรู้ข้างหน้า นี้เป็นพุทธวิสัยที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้
สิ่งที่ข้างหน้ายังมีอยู่นะ เราต้องเกิดต้องตาย เราจะหวังไปข้างหน้าตลอดไป นี่เวียนตายเวียนเกิด สิ่งนี้เวียนตายเวียนเกิดตามสภาวะกรรม กรรมสร้างสมขึ้นมา เราถึงต้องยอมรับสภาวะกรรมอันนี้ ถ้ากรรมดีเราพยายามสร้างคุณงามความดีของเรา เราเชื่อธรรมไง เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ในหัวใจ
เราเป็นคนตาบอด เห็นไหม คนตาบอดต้องเชื่อคนตาดี ถ้าเชื่อคนตาดีการประพฤติปฏิบัติมันเป็นงานทั้งนั้นน่ะ ความทุกข์ความยากนะ การประกอบสัมมาอาชีวะนี่ต้องแข่งขันกับทุก ๆ อย่างในโลก สิ่งที่ต้องแข่งขัน แข่งขันขึ้นมา สิ่งที่ได้ขึ้นมาแล้วนี่ เห็นไหม เป็นสมบัติกลาง นี่แข่งขันกับเขาแล้วด้วย ได้สภาวะกรรมคือใจมันกระทำขึ้นมาแล้วด้วย แล้วสมบัตินี้ก็ได้เป็นกลาง ได้ใช้ชั่วคราวเป็นปัจจัยเท่านั้น มันไม่เป็นตามความเป็นจริง
แต่ถ้าเราแข่งขันกับตัวเราเอง เห็นไหม เราพยายามแข่งขันกับตัวเราเอง แล้วแข่งขันกับกิเลสให้กิเลสนั้นสงบตัวลงให้ได้ ถ้าสงบตัวลงได้นี่มันจะมีความสุขขึ้นเพราะมันสงบเฉย ๆ สิ่งที่สงบเฉย ๆ ขึ้นมานี่สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเกิดดับ ไม่มีปัญญาใครก็ทำได้ แต่ถ้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานี่ ธรรมคือปัญญาอันนี้ใช้ใคร่ครวญนี่ มันลึกลับมหาศาลเลย
ถ้าพลิกขึ้นมาได้มันจะเป็นประโยชน์ได้ ถ้าพลิกขึ้นมาไม่ได้มันก็ซุกอยู่ในหัวใจนี่ มันเกิดขึ้นมาจากสภาวธรรมอันนี้ สภาวธรรมในหัวใจของเราที่เราค้นพบนี่ ถ้าเราพลิกขึ้นมาได้มันถึงจะเป็นธรรมจักร ถ้าเราไม่พลิกขึ้นมาได้นี่งานชอบมันไม่เกิดขึ้นมา สภาวธรรมอันนี้ใครเกิดขึ้นมานี่ เป็นอริยบุคคลนะ สิ่งที่เป็นอริยบุคคลเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้จะไม่มีเสื่อมไปเลยนะ
นี่อกุปปธรรม สภาวะโลกนี้เสื่อมหมด ทุกอย่างเสื่อมหมด เห็นไหม ใจของเรานี่คงที่ คงที่ในการสสารที่มันมีอยู่ แต่มันเกิดตายไง มันเกิดตายเพราะมันเกิดตายถึงสภาวะทุกข์อันนี้จะเกิดขึ้นมา นี่สภาวธรรมอันนี้มันถึงยังไม่เป็นความจริงไง แต่ถ้าเป็นธรรมาธิปไตยนี่ ธรรมอันนี้มันเป็นความจริงขึ้นมานี่ สภาวะอันนี้สิ่งนี้มีอยู่ไง
สภาวะใจมีอยู่ แล้วเราชำระกิเลสออกไปได้เพราะเราประพฤติปฏิบัติ เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติ เราทำของเรามา อำนาจวาสนานะ ทุกข์ยากขนาดไหนมันก็ทน สิ่งที่ทนเอานะ พยายามทนเอา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลบถึง ๓ หน สิ่งที่สลบ แล้วเวลาฟื้นขึ้นมา เห็นไหม พยายามย้อนกลับขึ้นมา เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทำถึงพ้นไปจากกิเลสได้นี่ แล้วเมตตาสงสารสัตว์โลกมาก ต้องการให้สัตว์โลกรู้อันนี้นะ
เหมือนพ่อแม่ พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกนี่ได้สมบัติอย่างที่เราปรารถนา ถ้าลูกเราประสบความสำเร็จเราจะภูมิใจมาก ลูกเรามีฐานะในสังคมนี่เราจะภูมิใจมาก สิ่งนี้เราภูมิใจมาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน อยากให้สัตว์โลกนี่ได้รู้ได้เห็นตามสภาวะความเป็นจริงอันนี้ แล้วมันจะไม่มีทุกข์ในหัวใจไง ทุกข์ในหัวใจจะไม่มีไปอีกเลย แล้วสิ่งนี้มันสร้างสมขึ้นมา กระแสของกรรมมันให้ผลถึงกัน
สิ่งที่ให้ผลถึงกัน เห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ เวลาพ่อแม่นะ โปรดพ่อโปรดแม่นี่ เพื่อดึงขึ้นมาจากสิ่งนี้ ให้ได้หล่อเลี้ยงหัวใจไง ภาวะของโลก สิ่งที่หามาเป็นสมมุตินี่ มันเป็นโลกอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าเป็นสภาวะของใจนะ มันคงที่ตลอดไป ใจนี้จะมีความสุขตลอดไป นึกถึงสิ เราเคยทำบุญไว้ เห็นไหม เราย้อนกลับไปถึงที่เราเคยสละไว้นี่ มันเป็นของสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดไป นี่อาหารที่เป็นทิพย์ ขนาดนี้เป็นบุญกุศลธรรมดานะ
แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาเป็นการฝังใจ จิตที่ฝังใจขึ้นมา ทำสมาธิขึ้นมานี่ เวลามันตายไป สิ่งที่เราซึ้งในหัวใจนี่ มันจะตามสิ่งนี้ไป เกิดเป็นพรหม แต่นั้นก็เป็นวาระที่ถึงเวลาต้องสมมุติตลอดไป แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติสร้างบารมีอันนี้ขึ้นมา จนถึงที่สุดนี้คือธรรมาธิปไตย ธรรมาธิปไตยนี่มีสิทธิทุกคน เห็นไหม ประชาธิปไตยก็มีสิทธิทุกคน เสียงเท่ากัน
แต่ธรรมาธิปไตยถ้าใครเห็นขึ้นมานี่ สิ่งที่ในหัวใจขึ้นมานี่อันนั้นสูงสุด อันนั้นสุดยอดมาก เพราะชนะตนเองไง จะไม่มีเวรมีกรรมต่อใคร จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ แล้วรู้สภาวะโลกเป็นแบบนั้นนะ โลกเป็นโลก เราเป็นเรา สภาวะเกิดที่เป็นโลกก็ให้เป็นโลก สิ่งนั้นวางไว้ไง
นี่เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเรา เรื่องของเราคือเราเอาชนะตัวเราเองด้วย แล้วเรื่องกิเลสในหัวใจสภาวธรรมที่เราค้นคว้าขึ้นมานี่ ทำสภาวะสิ่งนั้นให้มันสิ้นไปด้วย นี่มันเป็นเรื่องของเขา เห็นไหม แล้วเรามันเห็นแล้วมันจะสลดมันจะสังเวชนะ นี่เหมือนกับผู้ใหญ่ดูเด็ก เด็กมันเล่นไปตามธรรมชาติ มันไม่รู้เรื่องของมันเลย ผู้ใหญ่เห็นนี่ผู้ใหญ่เข้าใจไปทั้งหมด
นี่ถ้าสภาวธรรมเกิดขึ้นมาในหัวใจเป็นแบบนี้ มันจะรู้สิ่งต่าง ๆ หมดเลย นี่ถึงว่าทิฏฐิมานะความคิดเห็นนะ คิดผิดคิดถูก มันเกิดกับใจนี่ มันน่าสลดสังเวชมาก มันยึด มันไม่รู้ เด็ก เห็นไหม พ่อแม่สอนเด็ก เด็กมันไม่เชื่อ มันโต้แย้ง นี่มันความเห็นอย่างนั้นน่ะ ถึงเวลาแล้วมันปล่อยได้ ๆ มันวางได้ พอเป็นผู้ใหญ่มาเขาก็ต้องไปสอนเด็กเป็นสภาวะแบบนั้น
นี้ก็เหมือนกัน ใจที่มันเห็นสภาวธรรมแบบนี้ มันจะเห็นสมมุติโลกเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วตื่นเอาอะไรกัน ถ้าใจเราเป็นธรรม ใจเรามีหลักมีเกณฑ์นี่มันจะอยู่สภาวะแบบนี้ แล้วย้อนกลับขึ้นมา ทวนกระแสเข้าไป งานถึงจบสิ้นได้ไง งานของโลกทำแล้วไม่จบสิ้น ผลัดกันนะ คนนี้ตายไป คนอื่นต่อมาต้องทำกันต่อไป โลกนี้เป็นสภาวะแบบนี้แล้วก็เสื่อมไป แต่ธรรมนี้จบสิ้นในหัวใจ เอวัง